ชัชชาติเปิดตัวแล้ว ชิงผู้ว่าฯกทม.

แกนนำ พปชร.ห่วงรอยร้าวพรรคร่วมรัฐบาลยากสมาน หลังสภาล่มซ้ำซาก ชงไอเดียพบปะเดือนละครั้ง “บิ๊กตู่” เห็นด้วยนัดแรกมีตติ้ง 3 ธ.ค.นี้ ด้านฝ่ายค้านไล่นายกฯลาออกเหตุบริหารล้มเหลว เศรษฐกิจย่ำแย่ โบ้ยเหตุจากรัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ขณะที่ “เทพไท” อัดยับโยกย้ายนายตำรวจยุค “ประยุทธ์” คุมวงจรอุบาทว์เส้น-สาย-ส่วยอยู่ครบ ขู่ไม่แก้คำสั่งตั้งกระทู้ถามสดแน่ “เด็ก พปชร.” ปูด “ธนาธร” ลาออก กมธ.งบฯหวังลงเลือกตั้งซ่อมเขตสวนหลวง-ประเวศ “ช่อ” สวนกลับไม่มีนโยบายให้ ส.ส.พลีชีพ “เรืองไกร” ตามจิกทวงภาษีอนุ กมธ.สนช. “ชัชชาติ” ชิมลางฟังความเห็นชาวกรุง พร้อมประกาศลงผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ มั่นใจไร้สังกัดแนวร่วมเพิ่ม “ไอติม-ประดิษฐ์” ดอดร่วมวงพูดคุย

หลังจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้แถลงข่าวลาออกจากการเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 แล้วนั้น ทำให้หลายฝ่ายจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายธนาธร โดยมีข่าวลือ ต่างๆตามมา

“ธันวา” ปูด “ธนาธร” จ่อลง ลต.ซ่อม กทม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 30 พ.ย.นายธันวา ไกรฤกษ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตสวนหลวง-ประเวศ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ผมได้ข่าวมาว่า คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อาจจะลงเลือกตั้งซ่อมในเขตสวนหลวง-ประเวศ เพราะบ้านอยู่โซนนี้ ซึ่งพอดีเป็นเขตเลือกตั้งของผม ยังไงก็ยินดีต้อนรับ ถ้าคิดว่าจะชนะง่ายๆ ขอบอกเลยว่าคิดผิด คะแนนในเขตนี้ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่การเลือกตั้งปี 54 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ชนะเพื่อไทยที่ประมาณ 5 หมื่น ต่อ 4 หมื่น เลือกตั้งครั้งล่าสุด ฐานคะแนนเก่าประชาธิปัตย์ที่ 5 หมื่นนั้น แตกเป็น 2 ก้อนหลัก ก้อนแรกเลือกลุงตู่ คือคะแนนของผมที่ได้เกือบ 3 หมื่น และอีกก้อนเลือกประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ซึ่งได้เกือบ 2 หมื่น ส่วนคะแนนเก่าของเพื่อไทยที่ 4 หมื่นนั้นไม่แตกเลย เพราะเขตนี้ส่งผู้สมัครลงในนามไทยรักษาชาติ แต่มาถูกยุบ คะแนนจึงไปรวมอยู่ที่อนาคตใหม่ทั้งก้อน พรรคคุณเลยชนะไป และถ้ามั่นใจคราวนี้อย่าให้เพื่อไทยถอยให้ ไหนๆจะลงสู้แล้ว เอาแบบศักดิ์ศรีแคนดิเดตนายกฯ”

“ช่อ” ยันไม่มีนโยบายให้ ส.ส.พลีชีพ

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เตรียมลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในเขตสวนหลวง-ประเวศ กทม.ว่า ไม่มีเหตุผลใดที่นายธนาธร จะลงเลือกตั้งในเขตนี้ เพราะเจ้าของพื้นที่คือนายมณฑล โพธิ์คาย ส.ส.กทม.พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งไม่ได้ทำผิดอะไร และไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้งซ่อม ถ้าจะให้นายมณฑลลาออกแล้วให้ นายธนาธรลงเลือกตั้งซ่อมแทน เราจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร พรรคไม่มีนโยบายการพลีชีพ ส.ส.ยืนยัน ชัดๆว่าไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน ตอนที่นายธนาธรแถลงลาออกจาก กมธ.งบประมาณ ได้บอกแล้วว่าจะเป็น ส.ส.หรือไม่ก็สามารถทำงานการเมืองช่วยเหลือประชาชนได้ ส่วนงานในสภาฯ ให้ ส.ส.ของพรรคดำเนินการ และมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค เป็นแกนนำหลัก ส่วนนายธนาธร จะเดินสายพบประชาชนในพื้นที่ต่างๆเพื่อรณรงค์แคมเปญเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ที่สำคัญๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ.เกณฑ์ทหาร และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ต้องถามผู้ที่ปล่อยข่าวว่าต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่

“ธนกร” เย้ย ไร้ความรับผิดชอบ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ดูเหตุผลการลาออกแล้วไม่สมเหตุ สมผล นายธนาธรบอกว่าลาออกเพราะมีคนไม่ต้องการเห็นนายธนาธรในสภาฯ ไม่น่าจะใช่ เพราะการทำงานใน กมธ.ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ได้ตรวจสอบงบประมาณตามที่พรรคอนาคตใหม่ต้องการ มองว่านายธนาธรไม่มีความรับผิดชอบมากกว่า เพราะมีการประชุมจนดึกดื่นทุกวันและเหนื่อยมาก คงทนไม่ไหวกับงานหนักและต้องใช้สมองคิดตลอดเวลาจึงลาออก เป็นการไม่รับผิดชอบต่อประชาชน ทั้งนี้ ตนรู้สึกไม่สบายใจที่นายธนาธรพยายามเคลื่อนไหวเรื่องต่างๆ โดยการเดินสายไปทั่วประเทศ เสมือนเป็นการเตรียมการเคลื่อนไหวที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอีกใช่หรือไม่ อยากฝากนายธนาธรให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชนให้มากๆ ดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับฮ่องกงเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าคนไทยทั่วประเทศคงไม่ยอม เพราะวันนี้บ้านเมืองสงบแล้ว

อนค.สวนให้กลับไปดูไลฟ์สด

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ รองโฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า อยากให้นายธนกร วังบุญคงชนะ กลับไปเปิดไลฟ์สดของนายธนาธรดูอีกครั้ง และทำความเข้าใจใหม่ว่าที่นายธนาธรลาออกมีจุดมุ่งหมายอะไร จริงๆต้องย้อนถามไปยังกลุ่มผู้มีอำนาจต่างหากว่าพวกคุณไม่อยากให้นายธนาธรทำงานในสภามิใช่หรือ ถึงแม้จะเป็นการทำงานใน กมธ.เพียงระยะเวลาสั้นๆ นายธนกรไม่ต้องออกมาแสดงความเห็นเรื่องความรับผิดชอบคนอื่น เรื่องนี้ประชาชนเขารู้กันทั้งประเทศ ไปบอกสมาชิกพลังประชารัฐที่นั่งเหยียบเรือสองแคมทั้งกองทัพทั้งการเมือง รีบเอาคำตอบการใช้งบประมาณมาชี้แจงจะดีกว่า หากคนอย่างนายธนาธรไม่มีความรับผิดชอบตามที่นายธนกรแสดงความเห็น พรรคอนาคตใหม่คงไม่ผลักดันนโยบายที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนช่วงเลือกตั้ง ส่วนที่กลัวว่าพรรคอนาคตใหม่จะปลุกมวลชนมาเดินถนนสร้างความเสียหายต่อประเทศนั้นคำพูดหลายคำพูดของนายธนกรส่วนตัวเชื่อว่าเกิดจากอคติอีกอย่างการที่ประชาชนจะออกมาชุมนุมหรือไม่ไม่ใช่เพราะนายธนาธรแน่ๆ แต่เป็นเพราะศักยภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลต่างหาก ใครจะชุมนุมลงถนนไม่มีใครไปปลุกพวกเขาได้ อย่าดูถูกประชาชน

“เรืองไกร” เชื่อไม่มีใครกดดัน

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เลขานุการคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ยื่นลาออกจากการเป็น กมธ.ฯ ว่า ก่อนการประชุม กมธ.งบฯ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 พ.ย.นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณางบฯ แจ้งที่ประชุมถึงการลาออกของนายธนาธร และแจ้งด้วยว่านายธนาธรไม่ขอรับเบี้ยประชุมตั้งแต่ต้น สำหรับการทำหน้าที่ กมธ.งบฯของนายธนาธรได้สอบถามข้อมูลจากทุกกระทรวงไม่ได้เจาะจงเฉพาะกระทรวงกลาโหม หรืองบฯที่เกี่ยวข้องกับกองทัพทุกครั้งที่ประชุมนายธนาธรจะทำการบ้าน เตรียมข้อมูลมานำเสนออยู่ตลอด บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหา ไม่เครียด ไม่มีการกดดัน

ตามจิกภาษีเบี้ยประชุมอนุ กมธ.สนช.

นายเรืองไกรเปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือผ่านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ เพื่อขอให้ส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียกข้อมูลการจ่ายเบี้ยประชุมของคณะอนุ กมธ.และคณะอนุกรรมการคณะต่างๆของ สนช.ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพราะกฎหมายกำหนดให้บุคคลที่เข้าเป็นอนุ กมธ.ต้องเสียภาษีที่ได้รับจากเบี้ยประชุมด้วย รวมถึงขอข้อมูลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจาก คสช.ไม่ใช่ส่วนราชการตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีด้วย ได้ขอข้อมูลไปแล้ว 3 สัปดาห์ แต่ยังไม่ได้ส่งข้อมูลกลับมาแต่อย่างใด เรื่องนี้เป็นการตรวจสอบที่เป็นเรื่องสนุก เพราะหาก สนช.คนใดนำเบี้ยประชุมที่ได้รับจากการประชุมอนุ กมธ.ไปเสียภาษี ถือว่าเป็นคนดีของบ้านเมือง แต่ถ้าไม่เสียก็จะต้องมีการเรียกคืน

กมธ.งบฯฟิตถกงบฯมหาดไทย

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภามีการประชุมคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 นัดพิเศษในวันหยุดราชการ พิจารณาต่อเนื่องในส่วนของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกลุ่มจังหวัดต่างๆ มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.งบฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส และนายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนงานราชการเข้าร่วมชี้แจง โดยนายฉัตรชัยชี้แจงภาพรวมภารกิจของกระทรวงมหาดไทยว่า ตั้งเป้าหมายใช้งบประมาณเพื่อให้ประชาชนมีรากฐานการดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง เน้นพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์

เตรียมคุ้ยเรือดำน้ำ–ซื้ออาวุธต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่คณะ กมธ.พิจารณาเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 29 พ.ย.มีการตั้งข้อสังเกตในที่ประชุม เรื่องเกี่ยวกับสัญญาทางทีวีและวิทยุในส่วนของกองทัพ ความจำเป็นในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 ของกองทัพเรือนั้น จะไปลงรายละเอียดในชั้นคณะอนุกรรมาธิการต่อไป

พท.ไล่ “บิ๊กตู่” ออก บริหารล้มเหลว

นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำงานต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและทีมงาน แต่ไร้ฝีมือยิ่งทำเศรษฐกิจยิ่งแย่ ประชาชนยากจนลง ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะไม่มีความสามารถและไม่มีฝีมือในการบริหารประเทศด้วยการลาออก รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วย เพราะบริหารจัดการล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พรรคร่วมฝ่ายค้านพยายามนำเสนอข้อมูลแนวทางแก้ปัญหาผ่านทางรัฐสภา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ความสนใจที่จะเข้ามารับฟังและแก้ปัญหา

อัดดีไม่จริงนักลงทุนไม่เชื่อมั่น

นายสมคิดกล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปพูดกับประชาชนว่าเป็นคนดี เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาตินั้นพูดเพื่ออะไรไม่เกี่ยวว่าเป็นคนดีไม่ดี การทำงานต่างหากจะบอกว่าท่านเป็นคนอย่างไร แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าท่านไม่ดีจริง และนักลงทุนทั่วโลกไม่เชื่อมั่น ชัดเจนว่าปัญหาที่ไร้ทางแก้เกิดมาจากรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้รัฐบาลที่อ่อนแอ พรรค การเมืองอ่อนแอ รวมทั้งได้รัฐบาลผสมเข้ามา เกิดการต่อรองผลประโยชน์มากกว่าต่อรองเรื่องนโยบายการแก้ปัญหาให้กับประชาชน

“พิชัย” ขย่มซ้ำไม่ไหวอย่าฝืน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ได้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แสดงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจแล้วมีความรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์น่าจะสับสนและย้อนแย้งในตัวเอง สงครามในโลกปัจจุบันเป็นสงครามเศรษฐกิจ จะต้องใช้งบประมาณพัฒนาเศรษฐกิจมาก ไม่ใช่เพิ่มงบการทหาร ปัจจุบันไปไหนมาไหนมีแต่คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และโทษรัฐบาลที่บริหารล้มเหลว ดังนั้นจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พิจารณาให้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่ หากไม่ไหวอย่าฝืน เพราะประชาชนเริ่มไม่มีความหวังกับรัฐบาลนี้แล้ว

รบ.เล็งมีตติ้งทุกเดือนเชื่อมรอยร้าว

ขณะที่ความเคลื่อนไหวหลังจากเกิดเหตุสภาล่มซ้ำซากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า จากกรณีปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทำให้การทำงานในสภาไม่ราบรื่น เกิดเหตุสภาล่มซ้ำซาก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทำให้เสียงของรัฐบาลแพ้ฝ่ายค้านจากการลงมติตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 และสภาล่มถึง 2 ครั้ง โดยมีเสียงของ ส.ส.พรรคร่วมบางพรรคโหวตสนับสนุนญัตติดังกล่าว ขณะที่การบริหารงานรัฐบาลยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ล่าสุด นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะหัวพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือผู้บริหาร แกนนำพรรคพลังประชารัฐเห็นว่าเพื่อให้การบริหารงานในสภาแม้เสียงปริ่มน้ำแต่ต้องมีคุณภาพ และเพื่อการบริหารงานใน ครม.เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงเห็นร่วมกันว่า แกนนำรัฐบาล แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ควรได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกันเดือนละครั้ง โดยแนวคิดนี้ได้นำเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมแล้ว ซึ่งนายกฯเห็นด้วย การพบปะกันจะเริ่มครั้งแรกในสัปดาห์หน้า มีรายงานข่าวว่าจะเป็นวันที่ 3 ธ.ค. ที่สโมสรราชพฤกษ์ เวลา 18.00 น.

โพลชี้ชิมช้อปใช้ทำคะแนนกระฉูด

สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจ เรื่อง แนวโน้มจุดยืนการเมืองประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,098 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-30 พ.ย. พบว่าแนวโน้มฐานสนับสนุนของประชาชนต่อรัฐบาลเริ่มสูงขึ้นหลังจากตกต่ำลงตั้งแต่ช่วงหลังเลือกตั้งเป็นต้นมา คือร้อยละ 23.3 ในเดือน เม.ย. ร้อยละ 10.1 ในเดือน ก.ค. ร้อยละ 17.1 ในเดือน ก.ย. ร้อยละ 14.1 ในเดือน ต.ค. และขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 25.6 ในเดือน พ.ย. สาเหตุหลักมาจากมาตรการชิมช้อปใช้และมาตรการต่างๆของรัฐบาลในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ของประชาชน ขณะเดียวกันยังพบว่า จำนวนของผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 42.2 ในเดือน ต.ค. มาอยู่ที่ร้อยละ 25.4 ในเดือน พ.ย.

เผยวัยรุ่นไม่ถูกใจรัฐบาล “ลุงตู่”

เมื่อจำแนกออกตามกลุ่มช่วงอายุ พบว่ากลุ่มคนสูงอายุ ระหว่างอายุ 53-71 ปี เป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลมากที่สุดคือร้อยละ 28.6 ขณะที่กลุ่มเจนแซด หรืออายุน้อยกว่า 20 ปี เป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลน้อยสุดคือร้อยละ 17.9 อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจนวาย อายุ 20-37 ปี ที่สนับสนุนรัฐบาลมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล คือ ร้อยละ 26.8 ต่อร้อยละ 22.6 ส่วนกลุ่มเจนเอกซ์ อายุ 38-52 ปี มีกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มสนับสนุนรัฐบาล คือร้อยละ 28.0 ต่อร้อยละ 23.9 นอกจากนี้กลุ่มคนรายได้น้อยคือไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือนมีฐานสนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล คือร้อยละ 28.3 ต่อร้อยละ 25.8 ส่วนกลุ่มคนต่างจังหวัดเริ่มสนับสนุนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มคนกรุงเทพฯ คือร้อยละ 29.1 ต่อร้อยละ 22.0 ในขณะที่กลุ่มคนกรุงเทพฯ ร้อยละ 28.3 ไม่สนับสนุนรัฐบาลมีสัดส่วนมากกว่าคนต่างจังหวัดที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 22.4

“พีระศักดิ์” โต้ “เทพไท” ปัดถูกครอบงำ

ขณะที่นายพีระศักดิ์ พอจิต ส.ว.กล่าวถึงกรณีนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ท้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ส่งสัญญาณให้ ส.ว.มาร่วมสนับสนุนการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าแก้ไขได้สำเร็จใน 1 ปี จะขอเอาธูปเทียนไปกราบที่ทำเนียบรัฐบาลว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความร่วมมือและเห็นพ้องจากทุกฝ่าย หากมีการใช้ถ้อยคำท้าทาย หรือพูดจาในทำนองดูถูกและตีกินกันตั้งแต่ต้นเป้าหมายที่หวังจะไม่มีทางสำเร็จ ตนเชื่อว่าไม่มีใครสามารถครอบงำใครได้ทั้งหมด เชื่อว่า ส.ว.อดทนรับคำวิจารณ์จาก ส.ส.ที่พูดในสภาฯ วิจารณ์เราโดยไม่มีสิทธิชี้แจงมาตลอดช่วงที่มีการเปิดสภาฯ ซึ่งก็ไม่เป็นไร และเข้าใจดีถึงความอัดอั้นที่ไม่ได้เข้าสภาฯ มาหลายปี เท่าที่สัมผัสมา ส.ว.แต่ละท่านก็ทำหน้าที่เพื่อประชาชนอยู่ตลอดเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ออกสื่อแบบรายวันหรือเป็นข่าว

ถามกลับเหตุไม่ส่ง “มาร์ค” ชิง ปธ.

นายพีระศักดิ์กล่าวว่า การศึกษาหรือการเริ่มตั้งไข่เพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ คงไม่เกี่ยวกับการที่มีใครจะหอบธูปเทียนเข้าทำเนียบ ไปกราบกรานใคร แต่เกี่ยวกับการแสดงความจริงใจที่แท้จริง และพูดจาอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนก็เพียงพอแล้ว ไม่อย่างนั้นชาวบ้านจะสับสนจนไม่อยากจะสนใจการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น วันนี้มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่ยอมเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นแคนดิเดต ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่พอเปิดชื่อนายอภิสิทธิ์มา หลายฝ่ายก็ยอมรับ รวมถึงฝ่ายค้านเองยังมีท่าทีสนับสนุนชื่อนายอภิสิทธิ์ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่ากำลังเล่นเกมอะไรอยู่

“เทพไท” ฉะโยกย้าย ตร.ยึดเส้นสายส่วย

อีกเรื่อง นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องการโยกย้ายตำรวจประจำปีว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระบบการโยกย้ายของตำรวจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น วงจรอุบาทว์ยังไม่สูญหายไป คำว่า “ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร” ยังใช้ได้มาทุกยุคทุกสมัย สำหรับปีนี้กระแสข่าวการซื้อขายตำแหน่งมีลดน้อยลง แต่ระบบเด็กเส้น เด็กนายยังคงมีอยู่ให้เห็น ตำรวจคนใดไม่อยู่ระบบ 3 ส. คือ เส้น-สาย-ส่วย จะไม่ได้รับการดูแลโยกย้ายไปสู่ตำแหน่งที่ดีกว่า เป็นสัจธรรมในวงการตำรวจจริง แม้เรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจโดยใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งของ คสช. แต่ก็ล้มเหลว อย่าหวังว่ายุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะปฏิรูปตำรวจได้สำเร็จ

ขู่ไม่แก้คำสั่งตั้งกระทู้ถามสดแน่

นายเทพไทกล่าวว่า ขอยกตัวอย่าง คำสั่ง ตร.ที่ 675/2562 ลำดับที่ 104 กรณี พ.ต.อ.คมสัน พฤศวานิช ผกก.สภ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช ย้ายไปเป็น ผกก.สภ.กะเปอร์ จ.ระนอง นายตำรวจคนนี้เป็นตำรวจน้ำดี ได้รับโล่รางวัลมากมาย กลับถูกย้ายจาก สภ.ทุ่งสง เป็นโรงพักชั้นหนึ่ง ไปอยู่ สภ.บางขัน โรงพักชั้น 3 มาปีนี้ถูกย้ายไปอยู่ สภ.กะเปอร์ ไกลจากพื้นที่เดิมมาก เขามีปัญหาการเดินทางหรือดูแลครอบครัว ถ้าไม่ได้รับการเยียวยา ครั้งหน้ามีโอกาสถูกย้ายไปถึงพม่าแน่นอน ขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ในการโยกย้ายประจำปีนี้เห็นได้จากมีการออกคำสั่งถอน-แต่งตั้งนายตำรวจ 18 นาย ตามคำสั่ง ตร.ที่ 686/2562 ลงวันที่ 29 พ.ย.2562 จึงเรียนมายังนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกตร. และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.โปรดดำเนินการแก้ไขและทบทวนคำสั่งโดยด่วน หากไม่ดำเนินการใดๆจะตั้งกระทู้ถามสดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

“ชัชชาติ” ขอลงอิสระชิงผู้ว่าฯ กทม.

สำหรับความคืบหน้าในการลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม และแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย ล่าสุดมีการจัดกิจกรรมชวนถกเถียงแลกเปลี่ยนในประเด็น “ชัชชาติชวนคุย คนกรุงเทพฯช่วยคิด” มีตัวแทนชุมชนต่างๆ ร่วมพูดคุย ที่น่าสังเกตคือมีคนในแวดวงการเมืองเข้าร่วมด้วยคือ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.คลัง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชัชชาติกล่าวกับผู้มาร่วมงานว่า หน้าที่ของ กทม.คือต้องลงมาสัมผัสคลุกฝุ่นกับชาวบ้าน ตนตั้งใจที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร อิสระ ไม่ใช่เพราะเราทะเลาะกับพรรคการเมือง แต่เชื่อว่าในเชิงบริหารการลงอิสระเป็นทางเลือกที่ดี งานในวันนี้ไม่ใช่งานเปิดตัวคนที่มาวันนี้ถ้าไม่เลือกตนก็ไม่เป็นไร วันนั้นหากมีคนที่ดีกว่าเราเลือกคนอื่นได้ แต่หัวใจคือประชาชนต้องมีส่วนร่วม

มั่นใจไร้สังกัดได้แนวร่วมเพิ่ม

ต่อมานายชัชชาติให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมจะลงสมัครในนามอิสระ ได้อธิบายให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยฟังว่าถ้าลงอิสระจะได้แนวร่วม เพราะคนจำนวนมากเบื่อการเมือง แต่ทุกคนต้องการเห็น กทม.และประเทศไทยดีขึ้น ดังนั้น การลงอิสระจะได้แนวร่วมมากขึ้น มองในเชิงบริหารมากกว่าการเมืองเพราะงานการเมืองตนไม่มีฐานเสียงมาจากศูนย์ ถือว่าเหนื่อย เมื่อมีประกาศให้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะประเมินทำผลสำรวจคะแนนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อีกครั้งว่ามีความเป็นไปได้ ว่าจะไปรอดหรือชนะได้หรือไม่ เพราะหากทำผลสำรวจแล้วคะแนนน้อยแล้วจะไปต่อหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ได้คุยกับพรรคเมื่อประกาศจะลงในนามอิสระก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรค ส่วนที่มีกระแสข่าว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไม่เห็นด้วยที่ พรรคเพื่อไทยจะส่งคนลงสมัครแย่งนั้น ตนไม่ทราบและไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรค ขณะนี้ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้ว

“ไอติม” กั๊กร่วมงานเป็นเรื่องอนาคต

ด้านนายพริษฐ์กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาในนามส่วนตัวที่อยู่ในกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า โดยจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งเรื่องเศรษฐกิจสังคมและการเมือง มองว่ามีเรื่องที่เราสามารถทำได้มากกว่าที่คิด เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญที่กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้าขับเคลื่อนไปแล้ว เมื่อถามว่าการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ตนมีความเป็นอิสระทางการเมืองไม่ได้สังกัดพรรค นายชัชชาติก็ไม่ได้สังกัดพรรค สามารถแลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ว่าอยากเห็น กทม.เป็นอย่างไร เมื่อถามว่านายชัชชาติได้ชวนร่วมงานหรือยัง นายพริษฐ์กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวทางและนโยบายสอดคล้องกันขนาดไหน

“ยิ่งลักษณ์” ปลื้ม “ไปก์” แข่งระดับโลก

ทางด้านความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ดีใจกับน้องไปก์ (นายศุภเสกข์ อมรฉัตร) และเพื่อนๆที่ปีนี้ได้มีโอกาสมาแข่ง F1 in Schools World Finals 2019 ซึ่งเป็นงานแข่งรถจำลองเยาวชนระดับโลก ที่สนามแข่งขัน F1 Yas Marina Circuit เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีผู้เข้าแข่งขันจากทั้งหมด 22 ประเทศ รวม 55 ทีม โดยเน้นการแข่งขันการออกแบบและประดิษฐ์รถแข่งที่วิ่งเร็วที่สุด ที่ต้องอาศัยการบูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ปีนี้โรงเรียนฮาร์โรลส่งทีมนักเรียนร่วมแข่งขันในชื่อทีม Matrix Racing เป็นครั้งแรก โดยมีน้องไปก์เป็นผู้จัดการทีม และดีใจเป็นที่สุดที่ทีมนี้ได้รับรางวัล Sustainability Award หรือรางวัลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน นับว่าเป็นความภูมิใจและปลื้มใจที่น้องไปก์และเพื่อนๆได้มาร่วมแข่งในครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ชีวิต และที่สำคัญทำให้เราได้เจอลูกบ่อยขึ้นเท่านี้ก็สุขใจเป็นที่สุดแล้วค่ะ

ลงนามเอ็มโอยูขายยาง 8 พันล้าน

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่เมืองทองธานี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการซื้อขายยาง ในงาน “Thailand Rubber Expo” โดยนายจุรินทร์กล่าวถึงการบูรณาการแนวทางความร่วมมือการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐ และการส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายยางกับภาคเอกชน ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องของยาง นโยบายหลักคือการประกันรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยาง ขณะนี้มีการจ่ายเงินส่วนต่างไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. และยังคงทยอยจ่ายจนกว่าจะครบทั้งหมด ในขั้นตอนการจ่ายเงินนั้น ขณะนี้ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับเงินส่วนต่าง แต่ขอให้มั่นใจว่าเกษตรกรจะได้รับเงินอย่างแน่นอน ช่วงหลังปีใหม่ไปแล้วจะมีการนำภาคเอกชนไปเปิดตลาดใหม่ด้วย แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะเป็นประเทศบาห์เรน หรือประเทศกาตาร์ และยังจะมีการไปขายยางที่ประเทศแอฟริกาใต้อีกด้วย ทั้งนี้ การลงนามเอ็มโอยูในวันนี้รวมทั้งสิ้น 9 ฉบับ ในส่วนของการขายยางและการขายไม้ยาง รวมมูลค่าโดยประมาณ 8,070 ล้านบาท

“จุรินทร์” คิกออฟจ่ายมันสำปะหลัง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการจ่ายเงินประกันรายได้มันสำปะหลังว่า วันที่ 1 ธ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เดินทางไปคิกออฟเปิดโครงการประกันรายได้มันสำปะหลังงวดแรก ที่ห้องประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม เป็นโครงการที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นนโยบายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังซึ่งเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในโครงการประกันรายได้ กรอบวงเงินดำเนินการที่ได้มาปัจจุบันนี้ 9,671 ล้านบาท เพื่อประกันรายได้มันสำปะหลัง กิโลกรัมละ 2.50 บาท เชื้อแปลง 25% ให้สิทธิ์ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน มีพี่น้องผู้ปลูกมันสำปะหลังได้สะท้อนความคิดมาว่าพอใจมากเพราะโครงการดังกล่าวทำให้เกษตรกรอยู่ได้ ถือเป็นข่าวดีที่จะมีการจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 1 ธ.ค. ด้วยความรวดเร็ว