ชัยวัฒน์นัดเข้ามอบตัววันนี้ คดีสังหารบิลลี่ที่แก่งกระจาน

โดนกล่าวหา 11 ข้อ! พร้อมลูกน้องอีก3 ปลัดมั่นใจไม่มีหนี ให้ทำงานต่อปกติ

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ อนุมัติออกหมายจับ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” พร้อมพวกรวม 4 คน ในคดีฆ่ายัดถังเผาบิลลี่-พอละจี อดีตแกนนำกลุ่มกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาหนักอื่นรวม 11 กระทง เจ้าตัวโผล่ไปรับ “บิ๊กป้อม” ขณะตรวจเยี่ยมอุทยานฯเอราวัณ จ.กาญจนบุรี ลั่นไม่หนีและจะเข้ามอบตัวที่ดีเอสไอในวันรุ่งขึ้นทันที ด้านภรรยาบิลลี่ยื่นหนังสือให้ รมว.ยุติธรรม ขอให้ พ.ต.ท.กรวัชร์สะสางคดีต่อจนจบ ส่วนปลัดกระทรวงทรัพย์เผยยังไม่ย้ายอดีตหัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจานให้สู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมก่อน ด้านนายกฯตู่บอก แม้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงรู้จักกับตนก็ไม่มีใครช่วยได้

กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอเวลา 3 เดือน สะสางคดีฆ่ายัดถังเผานายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกลุ่มกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่หายตัวไปหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนำโดย นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแก่งกระจานขณะนั้น จับกุมขณะนำน้ำผึ้งป่าออกจากพื้นที่อุทยานฯ วันที่ 17 เม.ย.57 จากนั้นไม่มีใครพบนายบิลลี่อีก ต่อมาดีเอสไอพบหลักฐานสำคัญเป็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ถูกเผาทิ้งอำพรางคดีอยู่ในเขื่อนแก่งกระจาน และยังพบถังน้ำมัน 200 ลิตรอีก 1 ใบ หลังนำกระดูกตรวจสารพันธุกรรมพบว่าตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดานายบิลลี่ วันที่ 3 ก.ย. ชุดคลี่คลายคดีสรุปว่านายบิลลี่เสียชีวิตแล้ว อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีนั้น

ล่าสุด ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าเผาบิลลี่แล้ว เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 11 พ.ย. คณะโฆษกดีเอสไอแถลงข่าวความคืบหน้าคดีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือบิลลี่ กรณีที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.61 เป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 มีการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนพบชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะและถังน้ำมัน รวมทั้งมีพยานบุคคลและพยานเอกสารเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ให้ความสำคัญมอบนโยบายให้ดีเอสไอดำเนินคดีด้วยความรอบคอบและรวดเร็วนั้น วันที่ 11 พ.ย. ได้ประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีโดยมี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอเป็นประธาน เพื่อพิจารณาพยานหลักฐานและผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ประชุมเห็นว่ามีพยานหลักฐานพอขออนุมัติต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบกลาง ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้ พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ยื่นคำร้องและแถลงข้อเท็จจริงต่อศาล

ต่อมาเวลา 14.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก ประกอบด้วย นายบุญแทน บุษราคำ นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ รวม 4 คน ความผิดฐาน 1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 2.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและได้กระทำโดยมีอาวุธ 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

4.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ 5.ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป และ 6.ร่วมกันโดยทุจริตเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83, 289 (4) (7), 309, 310, 337, 340, 340 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.150 ทวิ รวมทั้งความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.147, 148, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.123/1 และ ม.172 อันเป็นความผิดที่สำนักงานป.ป.ท.ไต่สวนพบมูลความผิดแล้ว โดยแบ่งเป็นความผิดคดีอาญา 6 ข้อหา และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ 3 ข้อหา และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอีก 2 ข้อหา

สำหรับผู้ที่ถูกออกหมายจับพร้อมนายชัยวัฒน์ เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ คือ นายบุญแทน บุษราคัม ถูกย้ายปฏิบัติราชการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี และนายธนเสฏฐ์ หรือนายไพฑูรย์ แช่มเทศ ถูกย้ายไปปฏิบัติราชการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี)

พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า จะประกาศสืบจับตามระเบียบดีเอสไอว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับหมายจับในคดีพิเศษ พ.ศ.2562 ขอความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศสืบจับและจับกุมส่วนดีเอสไอก็มีศูนย์สืบสวนสะกดรอยเป็นผู้สืบสวนในคดีพิเศษด้วย หลังจากนี้จะติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับต่อไป

ที่อาคารจิตรภักดี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี อ.เมืองราชบุรี สายวันเดียวกัน นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พา น.ส.พิณนภา หรือมึนอ พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายบิลลี่ เข้ายื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ระหว่างไปเปิดโครงการยุติธรรมสร้างสุขครั้งที่ 2 และการปาฐกถาหัวข้อยุติธรรมเชิงรุกสร้างสุขให้ประชาชน นายสุรพงษ์กล่าวว่า ยื่นเรื่อง 3 ข้อ คือ 1.พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนคดีบิลลี่ทำคดีต่อจนถึงส่งฟ้องศาล เพราะคนไม่ได้ทำตั้งแต่แรกอาจทำให้คดีล่าช้า 2.นำร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาเป็นกฎหมายโดยเร็ว และ 3.เร่งมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เผชิญกับการข่มขู่คุกคาม ให้ความช่วยเหลือและปกป้องไม่ให้ถูกสังหารหรือสูญหายเช่นนายบิลลี่ ส่วนการขอหมายจับผู้ต้องหาคดีฆ่าบิลลี่ให้เป็นไปตามกฎหมายเพราะน่าจะมีข้อมูลชัดเจน ส่วน น.ส.พิณนภากล่าวด้วยว่า ขอบคุณดีเอสไอที่ติดตามคดีจนนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา และอยากให้ยอมรับผิดขอโทษต่อสังคม เพราะคดีไม่ควรเกิดขึ้นอีกทั้งส่งผลกระทบต่อครอบครัว

ด้านนายสมศักดิ์กล่าวว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ยังเป็นรองอธิบดีดีเอสไอต้องรอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ช่วงนี้ยังดูแลคดีอยู่และเป็นที่ปรึกษา ขอเวลา 3 เดือนเพื่อทำคดีให้เสร็จโดยจะครบกำหนดวันที่ 2 ธ.ค.นี้ พ.ต.ท.กรวัชร์จะทำคดีเสร็จทันในกรอบระยะเวลา

เมื่อเวลา 11.30 น. ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไปตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เพื่อมอบนโยบายบริหารการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ เตรียมรับสถานการณ์หมอกควันและการบริหารจัดการน้ำ มีรายงานว่านายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) มาร่วมงานด้วย นายชัยวัฒน์มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม กล่าวว่า การออกหมายจับรู้เพียงข่าวจังหวะที่มารับผู้ใหญ่ ไม่ได้หนีไปไหน ตนมีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง เมื่อออกหมายจับแล้วยินดีจะไปให้ความร่วมมือ ไม่มีอะไรเราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องทำตามกระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกับเอาคนอื่นเข้ากระบวนการยุติธรรม จะได้รู้ว่าใครผิดหรือใครถูก คดีทรัพยากรธรรมชาติยืนยันว่าทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมาย สำหรับตนก็ให้เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง แต่อย่าสร้างกระแสทุกวัน เพราะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่และสถาบันจะเสื่อมไปด้วย หลักฐานชัดเจนแค่ไหนก็ให้ว่าไปตามนั้นไม่อยากให้อะไรที่เป็นเท็จหรือถูกสร้างขึ้นมา ตนจะไปมอบตัวที่ดีเอสไอในวันพรุ่งนี้ (12 พ.ย.) แน่นอน

ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นายชัยวัฒน์เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงในฐานะหน่วยงานก็ต้องให้ไปสู้คดีในชั้นศาล ขณะนี้เป็นเพียงการกล่าวหาตาม กฎหมาย หากศาลมีคำตัดสินอย่างไรก็น้อมรับไม่ปกป้องคนผิด ถ้ายังไม่มีคำตัดสินก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้

ส่วนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ทราบว่าศาลออกหมายจับแล้ว 8 ข้อหา ต้องปล่อยให้เจ้าตัวต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และยังให้ทำงานตามปกติไม่มีการย้าย นายชัยวัฒน์เป็นข้าราชการระดับซี 9 คงไม่หนีไปไหน ส่วนกรณีที่นายชัยวัฒน์ถูกแจ้งความดำเนินคดีขณะปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตนจะดูรายละเอียดช่วงนั้นว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนต้องแยกกัน คือ เรื่องที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐขณะถูกกล่าวหา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีศาลอนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์พร้อมพวกรวม 4 คนว่า ยังไม่ได้รับรายงาน ตนไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แม้นายชัยวัฒน์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงก็ตาม ยืนยันไม่มีใครช่วยใครได้ แม้จะรู้จักกับใครหรือจะมาบอกว่ารู้จักกับตนก็ตามทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย